วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

>> เกร็ดน่ารู้ของกาแฟ ... ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

เกร็ดน่ารู้ของกาแฟ ... ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน





เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก rd.com

          กาแฟ...เครื่องดื่มสุดคลาสสิกของคนทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนทำงานทั้งหลาย ซึ่งเชื่อว่าหลายคนถ้าตื่นเช้าแล้วยังไม่ได้ดื่มกาแฟคงรู้สึกเหมือนยังไม่ตื่นเต็มตา เพราะนอกจากกลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟ บวกกับคาเฟอีนคงจะช่วยให้ทุกคนรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าในยามเช้าอย่างแน่นอน เอาล่ะค่ะ ในวันนี้กระปุกดอทคอมก็มีเกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับกาแฟที่คุณอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อน มาฝากเพื่อน ๆ กันด้วย ลองไปดูกันเลยค่า...




          1. คาปูชิโน เป็นชื่อที่ได้มาจากสีเสื้อของนักบวชนิกายหนึ่งของศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก ที่เรียกว่า คาปูชิน (Capuchin) ซึ่งมีสีน้ำตาลแก่นั่นเอง




          2. เอสเปรสโซ มาจากคำภาษาอิตาลี แปลว่า บีบ, กด เนื่องจากวิธีการชงกาแฟเอสเปรสโซมีเอกลักษณ์เฉพาะโดยต้องผ่านกรรมวิธีอันละเอียดและซับซ้อน จากกาแฟที่ได้รับการผสมผสานรสชาติขึ้นมาโดยเฉพาะเป็นพิเศษ คั่วอย่างเข้ม บดอย่างละเอียด กดอย่างแน่น และชงอย่างเร็วโดยใช้แรงอัดสำหรับแต่ละถ้วย ทำให้เอสเปรสโซมีรสชาติกาแฟซึ่งเข้มข้นและหนักแน่นต่างจากกาแฟทั่ว ๆ ไปซึ่งชงแบบผ่านน้ำหยด




          3. ประเทศโคลัมเบียและบราซิลส่งออกกาแฟมากที่สุดในโลก ถึง 17 ล้านตัน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 40% ของผลผลิตกาแฟทั้งโลก




          4. กาแฟขี้ชะมด หรือ Kopi Luwak (โกปี ลูวะ) เป็นกาแฟที่มีราคาแพงที่สุดในโลก มีถิ่นกำเนิดอยู่บนเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย โดยกาแฟขี้ชะมดนำมาจากมูลของชะมดพันธุ์ Paradoxurus hermaphroditus ที่กินผลกาแฟเข้าไป เมื่อถ่ายออกมาแล้วก็เก็บมาล้างทำความสะอาดให้หมดจดก่อนนำไปตากแห้งแล้วคั่ว โดยเจ้าชะมดเลือกจะกินเฉพาะผลกาแฟที่สุกดีแล้วเท่านั้น ซึ่งเท่ากับว่ามันจะช่วยคัดสรรเมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพด้วยเลยในขั้นตอนเดียว เมื่อชะมดกินเข้าไปแล้ว ผลกาแฟจะย่อยอยู่ในกระเพาะของมันราวหนึ่งวันครึ่ง ก่อนที่จะถ่ายออกมาเป็นเมล็ดกาแฟ




          5. ผลกาแฟ เป็นผลผลิตจากพืชไม้พุ่มถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบแอฟริกา ขนาดปานกลางสูง ประมาณ 3-4 เมตร ใบสีเขียวแตกออกจากข้อเป็นคู่ ๆ ดอกออกตามข้อของกิ่งมีสีขาวบริสุทธิ์ กลิ่นหอม โดยสายพันธุ์ของกาแฟที่มีการปลูกและเป็นที่นิยมทั่วไปมากที่สุด ได้แก่ อาราบิก้าและโรบัสตา




          6. Ibrik อุปกรณ์ดั้งเดิมของชาวตุรกีที่ใช้ชงกาแฟ ซึ่งทำจากทองแดงหรือทองเหลือง รูปทรงตรงจากด้านบนและป่องก้น มีด้ามจับยาว Ibrik ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งอุปกรณ์ชงกาแฟก็ว่าได้ และยังคงนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในแถบตะวันออกกลาง ขั้นตอนการใช้ Ibrik คือ การต้มน้ำจนร้อนแล้วจึงใส่เมล็ดกาแฟที่บดแล้วลงต้มให้เดือดอีกครั้ง นอกจากจะได้กาแฟที่เข้มข้นมากที่ชาวตุรกีนิยมดื่มคู่กับขนมรสหวานจัด และการต้มกาแฟด้วย Ibrik นี้ยังเสิร์ฟทั้ง ๆ ที่มีผงกาแฟลอยฟ่องอยู่ ด้วยเหตุผลนี้เองจึงมีการทำนายดวงชะตาด้วยกากกาแฟก้นแก้วเกิดขึ้น

          7. กาแฟอาราบิก้ามักจะมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามชื่อท่าเรือที่ใช้ส่งออก ท่าเรือที่เก่าแก่ที่สุด 2 ที่ได้แก่ ม็อคค่า (Mocha) และ ชวา (Java)




          8. การดื่มกาแฟถูกห้ามโดยชาวมุสลิมตามฮะรอม ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 เนื่องจากกาแฟเป็นที่นิยมในหมู่ชนมุสลิมและชนกลุ่มอื่น ๆ ในตะวันออกกลาง จนทำให้ร้านกาแฟก็ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดและกลายเป็นที่ชุมชุมนุมสังสรรค์ตลอดจนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งเรื่องการเมือง ร้านกาแฟกลายเป็นที่บ่มเพาะความคิดรุนแรง จึงถูกสั่งห้ามโดยระบุว่าเป็นต้นเหตุของการประพฤติตนนอกคอก ชักนำให้คนไปมั่วสุม และนำมาซึ่งความไม่สงบในสังคม


Credit: http://hilight.kapook.com/view/76119

วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

>> เทคนิคเดาข้อสอบอย่างเทพ ข้อสอบยากก็ได้ผล!!

วัสดีค่ะน้องๆ.... หน้าฝนมักจะพ่วงการสอบปลายภาคของเทอมหนึ่งมาด้วยเสมอ นี่ก็ใกล้ได้เวลาแล้ว ใครยังนั่งเล่นอยู่ระวังจะไม่ทันการนะจ๊ะ ส่วนพี่ๆ ที่ต้องเตรียมเรื่องกีฬาหรือกิจกรรมต่างๆ อย่าลืมแบ่งเวลาให้ดีล่ะ ยังไงการเรียนก็ต้องมาก่อนกิจกรรมเสมอ

             วันนี้พี่มิ้นท์จะมาพูดถึงการสอบล้วนๆ เชื่อว่าชาว
Dek-D.com หลายคนต้องเคยเจอปัญหาทำข้อสอบไม่ได้ อ่านมาแล้วก็ทำไม่ได้ เพราะอาจารย์ออกข้อสอบไม่ตรงกับที่เราอ่าน(หรือเราอ่านไม่ตรงกับที่อาจารย์ออก 5555) เรียกว่าเจอคำถามพวกนี้ได้แต่เกาหัวแกร่กๆ กันเลยทีเดียว แต่ในระดับมัธยมก็ยังไม่ยากเท่าไหร่ เพราะเป็นข้อสอบปรนัย ให้เราเลือกตอบได้ แต่ถ้ามัวแต่เดาแบบมั่วๆ ไม่มีหลักการ คะแนนของน้องๆ ก็คงต้องพึ่งดวงอย่างเดียวแล้ว ดังนั้นเพื่ออุดรอยรั่วไม่ให้คะแนนไหลไป พี่มิ้นท์มีเทคนิคการเดาข้อสอบขั้นเทพมาฝาก ถึงทำไม่ได้ก็ยังมีโอกาสตอบถูก ไปลองดูกันเลยจ้า

   1) ตัดช้อยส์
               เป็นเทคนิคเมื่อโบราณกาลนานมาแล้ว เป็นเทคนิคคลาสสิคที่ใครๆ เค้าทำกัน คือ  ตัดตัวเลือกที่ดูไม่น่าเกี่ยวข้อง หรือ ไม่ใช่แน่ๆ ออกไป เพราะข้อสอบแต่ละข้อก็จะมีบ้างที่น้องๆ สามารถรู้ว่าช้อยส์นี้ไม่ใช่ ดังนั้น ตัดออกไป ถ้าตัดไดถึง 2 ข้อจะดีมาก เพิ่มโอกาสถูกให้เรา 50 - 50% เลยทีเดียว กลับกันหากเราเดาสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ตัดช้อยส์โอกาสถูกจะมีเพียง 25% หรือ 1 ใน 4 เท่านั้น
  
 
   2) ข้อที่ทำไม่ได้ ให้ข้ามไปก่อน
               บางข้อคิดหัวแทบแตกก็ไม่ได้คำตอบ ตัดช้อยส์ก็ไม่ได้ แนะนำให้ข้ามข้อนี้ไปก่อนเลย แล้วค่อยกลับมาทำทีหลังโดยใช้เทคนิคอื่นเข้าช่วย อย่าดันทุรังฝืนทำต่อไป เพราะจะเสียเวลาโดยใช่เหตุ ลองคิดดูว่าฝืนคิดข้อละ 1 นาที 20 ข้อ เท่ากับเราเสียเวลาแบบไม่ได้คำตอบไป 20 นาทีเชียวนะ

   
3) "ไม่มีข้อใดถูก" มักเป็นตัวเลือกหลอก
              ในคำถามที่เน้นการวิเคราะห์และความจำที่ช้อยส์จะยาวเป็นพิเศษ และมักจะมีช้อยส์ "ไม่มีข้อใดถูก" อยู่ด้วย แนะนำว่าถ้ามีช้อยส์นี้ขึ้นมาให้ตัดออกไปได้เลย เพราะการคิดช้อยส์ให้ผิดยากกว่าคิดช้อยส์ให้ถูกนะคะ ที่สำคัญคือ ถ้าตั้งโจทย์มาแล้วแต่ไม่มีข้อถูกในนั้น นักเรียนก็คงไม่ได้ประโยชน์อะไร เรียกว่าเป็นช้อยส์ที่เกิดมาเพื่อหลอกโดยเฉพาะ ยกเว้นแต่ว่าอาจารย์คนนั้นเป็นที่ขนานนามกันว่าเดาแนวข้อสอบยาก อะไรก็เกิดขึ้นได้!!
              ส่วนตัวเลือก
"ถูกทุกข้อ" อันนี้ค่อยมีโอกาสเป็นไปได้ แต่น้องๆ ควรอ่านโจทย์ให้ครบทุกข้อซะก่อน สิ่งที่ต้องดูคือ เนื้อหาในช้อยส์มีความเชื่อมโยงกันหรือไม่ ขัดแย้งกันเองหรือไม่ เป็นต้น
              แต่ถ้าเกิดมีตัวเลือก "ไม่มีข้อใดถูก" กับ "ถูกทุกข้อ" พร้อมกัน ไม่น่าจะมีโอกาสเป็นไปได้ค่ะ สามารถดูช้อยส์ 2 ข้อที่เหลือแล้วเลือกตอบได้เลย

   
4) คำตอบที่แย้งกันเอง มักจะมีข้อใดข้อหนึ่งถูก
              ลองสวมบทบาทคนออกข้อสอบดู เมื่อใส่คำตอบที่ถูกไปแล้ว พอคิดคำตอบที่ผิดขึ้นมาก็มักจะสร้างคำตอบที่ตรงกันเอาไว้ก่อน เรียกว่าเป็นช้อยส์คู่ขนาน เช่น คำตอบที่ลงท้ายว่า "มากขึ้น - ลดลง" เป็นต้น อยู่ที่ว่า 2 ช้อยส์ที่ตรงข้ามกันนั้นเราจะรู้คำตอบมั้ย

   
5) ช้อยส์ที่มีความหมายเหมือนกัน ตัดทิ้งได้เลย
             ตรงกันข้ามกับคำตอบที่แย้งกันอันนั้นให้เก็บไว้และเลือกคำตอบที่ถูกต้อง ส่วนช้อยส์ที่มีเนื้อหาหรือความหมายเหมือนกันให้ตัดทิ้ง เพราะถ้าข้อนึงถูก อีกข้อนึงก็ต้องถูก ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ เช่น
            ข้อใดคือประโยชน์ของวิตามินเอ?
                ก.บำรุงสายตา
                ข.บำรุงกระดูก
                ค.บำรุงฟัน
                ง.ป้องกันหวัด
           อันนี้เป็นตัวอย่างคร่าวๆ ที่อยากให้น้องๆ เห็นภาพ สมมติว่าข้อนี้น้องๆ ไม่รู้คำตอบเลย ก็ลองดูที่ช้อยส์จะเห็นว่า จริงๆ แล้วกระดูกและฟันมันก็คล้ายๆ กัน ถ้าเกิดมันต้องตอบฟัน กระดูกก็จะต้องตอบด้วย เพราะฉะนั้นจะแยกกันไม่ได้ ดังนั้นตัดออกได้เลยทั้งสองช้อยส์ก็จะเหลือข้อ ก) และ ง) ที่เหลือก็ต้องตัดช้อยส์กันต่อไป ถ้าไม่ได้ต้องเดาต่อ

  
6) ทิ้งดิ่ง
           เมื่อลองทุกวิถีทางมาแล้ว เชื่อว่าจะเหลือข้อที่ทำไม่ได้ประมาณ 10% ถ้ามากกว่านี้ต้องสงสัยแล้วล่ะว่าได้อ่านหนังสือมาบ้างมั้ยเนี่ย ฮ่าๆ เอาล่ะ เมื่อข้อที่เหลือไม่สามารถตัดช้อยส์ได้ ก็ให้ทิ้งดิ่ง โดยมีหลักการเลือกข้อที่จะทิ้งดิ่งว่า ต้องเป็นข้อที่มีคำตอบน้อยที่สุด เช่น ข้อสอบ 100 ข้อ เหลือข้อที่ตอบไม่ได้ 12 ข้อ  ข้อ ก) มี 21 ข้อ  ข)มี 14 ข้อ  ค)มี 27 ข้อ  ง) 26 ข้อ จะเห็นได้ว่า ข้อ ข) มีคำตอบน้อยที่สุด เพราะฉะนั้น 12 ข้อที่เหลือให้ทิ้งดิ่ง เทกระจาด ตลาดแตกที่ข้อ ข) ได้เลย

           คำถามที่เกิดขึ้นคือ แล้วจะมั่นใจได้ยังไงว่าอาจารย์จะออกข้อสอบแบบเฉลี่ยคำตอบให้เท่ากันทุกข้อ ในความเป็นจริงอาจารย์คงไม่ได้จัดให้เท่ากันเป๊ะๆ หรอกค่ะ แต่เราได้ทำข้อที่มั่นใจมากและเกือบมั่นใจไปจนเกือบหมดแล้ว แต่คำตอบในบางข้อก็ถูกกาน้อยซะเหลือเกิน จะให้เราไปทิ้งดิ่งในข้อที่คำตอบเยอะแล้วก็คงจะไม่ใช่ ดังนั้นแบบนี้แหละที่เพิ่มโอกาสได้คะแนนมากกว่า.... ถึงอาจารย์บางท่านจะไม่ได้ยึดหลักเฉลี่ย 25 เท่ากัน แต่ก็เชื่อว่ามีหลายท่านนะคะที่ยังใช้หลักนี้อยู่^^
   
 ข้อแนะนำเพิ่มเติม
            ได้เทคนิคเดาข้อสอบแบบเทพๆ ไปแล้ว พี่มิ้นท์จะมาแนะนำถึงข้อควรปฏิบัติเมื่อเข้าห้องสอบกันบ้าง เพราะสิ่งเหล่านี้ก็ช่วยให้ได้คะแนนเพิ่มได้เหมือนกันนะ
              
  - เข้าถึงห้องแล้ว ก่อนทำข้อสอบให้เช็คข้อสอบให้เรียบร้อยว่าครบมั้ย หน้าไหนขาด หรือตัวอักษรเลือนหรือเปล่า เพราะถ้าทำๆ อยู่แล้วเรียกอาจารย์คุมสอบขอเปลี่ยนข้อสอบ นอกจากจะเด่นกลางห้องแล้ว ยังรบกวนสมาธิเพื่อนด้วย เราเองก็เซ็งเหมือนกันนะ
              
- ข้อที่ทำไม่ได้ เมื่อข้ามไปแล้วให้ทำสัญลักษณ์ไว้ ไม่อย่างนั้นเวลาเราทำข้อไปอาจลืมตัวไปฝนข้อที่เราข้าม โอ้วพระเจ้าจอร์จสุดท้ายอ่านจบครบ 100 ข้อ แต่คำตอบเราอาจจะได้ 99 โดยที่ไม่รู้ว่าเริ่มผิดตั้งแต่ข้อไหน เจอแบบนี้เข้าไปเสียเวลา เสียใจ เปลืองยางลบด้วย ฮ่าๆ
              
- ทำเสร็จแล้ว ตรวจทานให้ดีว่าทำครบทุกข้อหรือยัง เพราะบางทีเผลอทำสัญลักษณ์ไว้ว่าจะกลับมาทำใหม่แล้วลืมทำซะงั้น
              
- ตรวจทานคำตอบของตัวเอง หากเจอข้อที่มั่นใจว่าผิดให้แก้ แต่ถ้าข้อไหนที่เจอแล้วรู้สึกแปลกๆ ไม่แน่ใจก็ไม่ต้องแก้ ให้เชื่อเซ้นส์แรกของตัวเองไว้ มีหลายคนแล้วที่เปลี่ยนคำตอบจากถูกไปเป็นผิด
          
    - โดยรวมของข้อสอบ น้องๆ ควรจัดการเวลาให้ดี ว่าจะทำกี่นาที ตรวจทานกี่นาที
             
- อย่าทำผิดกฎการสอบ เช่น ลอกเพื่อน จดโพย เป็นวิธีที่ไม่ดีมากๆ ถ้าโดนจับได้ขึ้นมาต้องถูกทำโทษหรือถูกตัดคะแนนแน่นอน พี่มิ้นท์ว่าแบบนี้ไม่ได้น่าสงสารเลยนะคะ

             
  เรื่องที่เอามาฝากกันวันนี้จะถูกใจน้องๆ รึป่าวเอ่ย ถึงพี่มิ้นท์จะมีเทคนิคการเดามาฝาก แต่ก็อยากให้น้องๆ อ่านหนังสือและเอาความรู้มาใช้ให้ได้มากที่สุดดีกว่านะคะ เพราะตอบได้แบบมั่นใจย่อมตอบถูก 100% ส่วนเดาเนี่ย เอาไว้หมดหนทางจริงๆ แล้วดีกว่าโนะ
              ว่าแต่มีน้องๆ คนไหนที่มีเทคนิคการเดาข้อสอบแบบเจ๋งๆ อีกมั้ย ยกเว้นร้องเพลงแล้วเอานิ้วจิ้มตามเพลงนะ 555555

วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

งาน ม.4 ส่งวันที่ 18 ก.ย. 55 (ครั้งที่ 3)

งาน ม.4   ส่งวันที่ 18 ก.ย. 55 (ครั้งที่ 3)

1. เขียนไดอารี่ ใน Blog  ตั้งแต่วันที่ 14-17 ก.ย. 55

2. เพิ่มบทความใหม่ใน Blog โดยหัวเรื่อง Link Blog
โดยเนื้อหา เป็นการใส่ URL blogเพื่อนๆ ในห้องทุกคน

3. ทำการตกแต่งใน www.webs.com ที่นักเรียนสมัคร ให้สวยงามและมีเนื้อหาที่น่าสนใจ รวมทั้งมีการใส่ไฟล์แบบ วิดีโอ เสียง ฯลฯ 

*** งาน 3 ครั้ง    20% (ไม่ส่งงานตามกำหนดแต่ละครั้งหักครั้งละ 1%) ***

** มีการโหวต Blog ที่น่าสนใจ 3 อันดับที่ได้รับการโหวตสูงสุด จะได้รับรางวัล (โดยดูจากผู้เข้าเยี่ยมชม) ***

>> ใบงาน ม.4 วันอังคารที่ 11 ก.ย.55 (ครั้งที่ 2)

ใบงาน ม.4
วันอังคารที่ 11 ก.ย.55 (ครั้งที่ 2)
วันอังคารที่ 11 กันยายน 2555 (ครั้งที่ 2)
1. หาบทความเกร็ดความรู้ หรือข้อคิดดีๆ ที่ชอบลงไปใน Blog จำนวน 3 บทความ (โดยสร้างจากเมนู บทความใหม่)
2. ต้องบอกที่มาของเว็บที่คัดลอกมา ด้านล่างด้วย
3. ส่งในคาบค่ะ (:

>> Work Hard Play Hard แบบกวิน นวลแข


การที่ประเทศเล็กๆ อย่างนิวซีแลนด์สามารถแข่งขันกับประเทศใหญ่ๆ ซึ่งมีพร้อมทั้งทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรบุคคลได้ ก็เพราะตัวประชากรเองมีการพัฒนาขีดความสามารถของตนจนกลายเป็นผลิตผลที่มีประสิทธิภาพพร้อมนำออกไปสร้างผลประโยชน์ให้แก่ประเทศ และการที่คุณกวิน นวลแขซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่ง Managing Director ของโรงแรม Maduzi เคยมีโอกาสเดินทางไปศึกษาและใช้ชีวิตอยู่ที่นิวซีแลนด์ จึงซึมซับเอาวัฒนธรรมแห่งการพัฒนาตนเองกลับมาประยุกต์ใช้กับการทำงานที่ประเทศไทย

คุณกวินกล่าวว่า การพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นอยู่เสมอๆ คือสัญชาตญาณเบื้องต้นในการเอาตัวรอดของชาวนิวซีแลนด์ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้มีค่านิยมในการใช้ชีวิตแบบหรูหราฟุ่มเฟือยแต่อย่างใด และวิธีคิดแบบ Down to Earth ของชาวนิวซีแลนด์นั้นนับเป็นอีกสิ่งที่ปลูกฝังอยู่ในความคิดของคุณกวินด้วย นอกจากนี้การได้ทำกิจกรรมอะไรแปลกๆ อย่างเล่นเรือใบ ปีนภูเขาน้ำแข็ง เล่นสกี หรือเล่นรักบี้ ก็มีส่วนช่วยเสริมบุคลิกภาพด้วย

สิ่งที่เห็นเด่นชัดคือช่วยให้กล้าคิดนอกกรอบ ไม่ทำเหมือนคนอื่น และต้องทำให้ดีกว่า อย่างการเปิดโรงแรม Maduzi ที่กรุงเทพฯ โดยคอนเซ็ปต์หลักของโรงแรมนี้คือสร้างให้เป็นที่พักอาศัยแบบปิด เงียบสงบ และมีความเป็นส่วนตัวสูง ซึ่งแขกส่วนใหญ่ที่มาใช้บริการจะเป็นกลุ่มคนที่ไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเขามาพัก แน่นอนว่าในช่วงแรกของการเปิดโรงแรมย่อมต้องมีปัญหาหนักใจ เช่น ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีแขกเข้าพัก และเสียงบ่นจากคนรอบข้าง

วิธีแก้ปัญหาในตอนนั้นคือความเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนทำว่าจะสามารถผ่านพ้นไปได้ และเมื่อสามารถก้าวข้ามอุปสรรคเหล่านั้นมาได้หนึ่งขั้น ก็ต้องเตรียมปรับกลยุทธ์ในการรับมือกับปัญหาลำดับต่อไป เช่น แขกที่มาเข้าพักเริ่มเรียกร้องบริการต่างๆ มากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งปกติสำหรับการทำธุรกิจในด้านนี้ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีความยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ต่างๆ และที่สำคัญที่สุดคือต้องเพิ่มศักยภาพให้แก่ทีมงานหรือส่งเสริมให้พนักงานพัฒนาความสามารถของตนเอง อย่างเช่นจัดตั้ง Book Club ขึ้นมา โดยจะแจกหนังสือให้อ่านแล้วมานั่งถกกันว่าหนังสือเล่มนี้พูดถึงอะไร ดีอย่างไร และสามารถนำไปใช้ได้อย่างไร พอทุกคนอ่านมากก็มีความรู้มาก สิ่งที่ตามมาคือผลตอบแทนด้านเงินเดือนที่สูงขึ้นตามศักยภาพในการทำงานซึ่งเรียนรู้มาจากการอ่านนั่นเอง และเนื่องจากโครงสร้างของโลกทุกวันนี้บังคับให้คนทำงานเพื่อหาเงินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง หลักปฏิบัติของคนส่วนมากจึงทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดให้กับการทำงานเพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่า
แต่สำหรับคุณกวิน การสร้างอนาคตที่ดีต้องมาพร้อมกับการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขควบคู่กันไปในช่วงเวลาปัจจุบันด้วย นี่จึงเป็นที่มาของสไตล์การใช้ชีวิตแบบ Work Hard Play Hard ของ Managing Director คนนี้ คือเวลาทำงานก็ต้องเอาจริงเอาจัง แต่เมื่อถึงเวลาที่ควรจะพักก็ต้องหยุด เพื่อหาความสุขให้แก่ตนเองและครอบครัวอย่างเต็มที่ ซึ่งหนึ่งในกิจกรรมคลายเครียดนั้นก็คือการออกไปกินอาหารอร่อยๆ นั่นเอง
และการจะบอกว่าอาหารอร่อยหรือไม่ คุณกวินบอกว่าต้องเข้าใจถึงบุคลิกที่แตกต่างของอาหารแต่ละประเทศก่อน เช่น อาหารญี่ปุ่นจะเน้นความสดให้รสธรรมชาติ อาหารฝรั่งเศสก็เน้นรสธรรมชาติของวัตถุดิบ ไม่ใช้เครื่องปรุงมาก อาหารจีน ไทย อินเดียต้องรสจัดจึงจะถูกปาก และสุดท้ายคืออาหารนิวซีแลนด์ที่ให้ความสำคัญกับความสดมากๆ คือผักต้องเจริญเติบโตขึ้นมาจากดินธรรมชาติแล้วเก็บมาปรุงทันที ไม่มีค้างในสต๊อก

ส่วนความสุขในการกินนั้นต้องยึดตามหลักการให้ดาวแบบ Michelin Guide คือดาวที่หนึ่งแปลว่าต้องอร่อยสม่ำเสมอ ดาวที่สองคือบรรยากาศดี สถานที่สวยงาม บริกรรู้จังหวะในการเสิร์ฟ และดาวที่สามหมายถึงต้องมีอะไรแปลกกว่าที่อื่น บริการดีเหนือระดับ ไวน์พิเศษ หรือสลักชื่อร้านที่ช้อนส้อม ซึ่ง Happy Meal ของคุณกวินนั้นขอแค่ดาวที่หนึ่งก็เพียงพอแล้ว


>> กฎ 3 ข้อในการเลือกสายอาชีพ


คอลัมน์ คนไทยทำได้  โดย บัณฑิต อึ้งรังษี



เมื่อวันเสาร์ที่แล้ว (19 พ.ค.2550) ผมได้รับเกียรติจากธนาคารไทยพาณิชย์ เชิญให้เป็นผู้พูด (Keynote Speaker) กับผู้บริหารชั้นสูง 300 ท่านของธนาคาร ในหัวข้อเรื่อง Dare to Dream หรือ *ความกล้าที่จะฝัน เมื่อผมพูดจบ ก็มีการเปิดโอกาสให้ผู้ฟังถาม มีคำถามที่ดีมากมาย โดยเฉพาะท่านหนึ่งที่ถามผมว่า เราจะทราบได้อย่างไรว่าเลือกอาชีพไหนดีที่สุด เหมาะกับเราที่สุด หรือจะรู้ได้อย่างไรว่าอาชีพที่เลือกมามันถูกต้องแล้วผมได้ตอบไปเท่าที่เวลาจะอำนวย แต่เมื่อกลับมาคิด ได้ตระหนักว่าน่าจะมีเยาวชนหลายคนที่สงสัยในข้อนี้เหมือนกัน รวมทั้งตัวผมเองเมื่อเป็นเด็กเมื่อตนเองได้ผ่านประสบการณ์มาพอสมควร ทั้งได้อ่านอย่างมากมายเกี่ยวกับจิตวิทยาความสำเร็จ และประวัติบุคคลต่างๆ ที่ประสบความสำเร็จระดับโลก เช่น ไทเกอร์ วูดส์, บรูซ ลี, อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์, สุบิน เมธา, โดนัลด์ ทรัมพ์ ฯลฯ ก็อยากจะแบ่งปันถึงกฎ 3 ข้อที่สามารถใช้เป็นแนวทางในการเลือกอาชีพที่ถูกต้อง เพราะการเลือกอาชีพที่ถูกต้อง เป็นปัจจัยที่สำคัญมากต่อความสำเร็จในชีวิต ถึงแม้คนบางคนมีความสามารถล้นตัว เรียนเก่งไปหมดทุกวิชา แต่เลือกสายอาชีพที่ผิด ก็อาจประสบความสำเร็จน้อยกว่าคนที่เลือกอาชีพที่เหมาะสมกับตนเองได้การเลือกอาชีพที่ถูกต้อง ทำให้เราเอาศักยภาพที่เรามีออกมาใช้ให้ได้มากที่สุด ให้เราเก่งในเรื่องที่เราอยากเก่ง ทำให้เรา Focus พลังของเราไปที่จุดๆ เดียว

อาชีพที่ถูกต้องกับตัวคุณจะต้องมีองค์ประกอบ 3 อย่าง

1.อาชีพคุณจะต้องเกี่ยวกับสิ่งที่คุณเองสนใจและรัก สังเกตนะครับ ผมบอกว่า *คุณเองสนใจ* ไม่ใช่คนอื่นๆ รอบตัวที่คิดว่าน่าจะใช่ อันนี้คุณต้องถามหัวใจคุณเอง ถามตนเองว่าพรสวรรค์ประจำตัวตามธรรมชาติของคุณคืออะไร แน่นอน ถ้าคุณอยากเป็นนักบาสเกตบอลระดับนานาชาติ สามารถเล่นใน NBA ของอเมริกาเหมือน *เหยา หมิง* ของจีน แต่คุณสูงแค่ 165 เซนติเมตร เหมือนผม ก็อาจเป็นเรื่องที่ลำบากหน่อย เพราะไม่ใช่พรสวรรค์ตามธรรมชาติของคุณ (แต่ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้) ถ้าคุณทำงานในสิ่งที่ตนเองไม่ชอบ นานๆ เข้าคุณก็จะเบื่อ และในที่สุดคุณก็จะเกลียดงานนั้น แล้วไฟก็จะมอด ทำงานไปก็เพื่อมีเงินเลี้ยงตนและครอบครัวอย่างเดียว แต่ไม่ได้ประสบถึงความยินดีปรีดาในการทำสิ่งที่ตนเองรัก

การทำในสิ่งที่ตนเองรักแล้วประสบความสำเร็จในเรื่องนั้น มีคนยกย่องให้เกียรติ และให้ค่าตอบแทน สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้เป็นอย่างดี เป็นความรู้สึกแห่งความสำเร็จที่แท้จริง

2.ศึกษาด้วยตนเองจนเป็นผู้เชี่ยวชาญ
ถ้าคุณสนใจงานประเภทไหนมากๆ คุณอยากจะเก่งในด้านนั้น คุณอยากจะได้ข้อมูลเพิ่ม เพื่อที่จะเป็นเลิศในด้านนั้น หัวสมองคุณจะจดจำในเรื่องนั้นได้อย่างง่ายดาย

ถ้าคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาใดก็ตาม แม้ว่าจะเป็นสาขาย่อย เล็ก หรือไม่ค่อยมีใครสนใจ ย่อมสามารถทำเงินได้มากกว่า คนที่ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญแน่นอน

การที่คุณเริ่มต้นที่ความรักในสิ่งที่ทำ ทำให้คุณอยากเก่งในเรื่องนั้นขึ้นเรื่อยๆ มีกำลังใจที่จะศึกษาจนเป็นผู้เชี่ยวชาญในระดับจังหวัด ระดับประเทศ หรือระดับโลก

3.รับใช้ผู้อื่น
กฎสองข้อแรกไม่มีประโยชน์เลยถ้าคุณไม่ได้รับใช้ผู้อื่น หรือทำให้ชีวิตผู้อื่นดีขึ้นในทางใดทางหนึ่ง แค่การทำสิ่งที่ตนรัก และเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับโลกในด้านนั้น จะไม่ให้รายได้ตอบแทนคุณได้ ถ้าคุณไม่ได้รับใช้ผู้อื่น ยิ่งคุณรับใช้ผู้อื่นมากเท่าไร หรือยิ่งมีคนได้ประโยชน์จากคุณและการบริการหรือ สินค้าของคุณมากเท่าไรคุณก็ยิ่งรวยมากเท่านั้น

ข้อแนะนำ ถามตนเองสองคำถามนี้เสมอ จนหาคำตอบเจอ
1.เราจะได้รับค่าตอบแทนจากการทำ (สิ่งที่คุณรัก) ได้อย่างไร? หรือ

2.เราจะเสนอบริการหรือสินค้าให้กับผู้อื่นโดยการทำ (สิ่งที่คุณรัก) ได้อย่างไร?

สิ่งที่ควรตระหนัก
" อาชีพยังเปลี่ยนได้ แม้เลือกแล้ว มันไม่สายเกินไปที่จะเริ่มต้นใหม่"ผู้พันแซนเดอร์ส แห่ง KFC เริ่มต้นกิจการยิ่งใหญ่ของเขาเมื่ออายุ 60 ปี หลังจากที่ล้มเหลวมาทั้งชีวิต


>> ข้อคิดและข้อปฎิบัติสำหรับผู้ต้องการเพิ่ม EQ ของตัวเอง :



แด่ ทุกท่านที่กำลังทำงานหนัก เพื่ออะไรบางอย่างในชีวิต: ข้อคิดและข้อปฎิบัติสำหรับผู้ต้องการเพิ่ม EQ ของตัวเอง : หัดคิดแต่ด้านบวก ***แล้วจะรู้ว่ามีแต่สิ่งที่เป็นไปได้*** หัดฝัน ***แล้วจะรู้ว่าโลกนี้น่าอยู่***
หัดพูดแต่ด้านบวก ***แล้วจะรู้ว่ามีคนอีกมากมายที่รักเรา***
หัดยิ้ม ***แล้วจะรู้ว่าเราคือคนที่น่ารัก***
หัดฟาดฟันกับอุปสรรค ***แล้วจะรู้ว่าเราคือคนที่เข้มแข็ง***
ลองทน ***แล้วจะรู้ว่าเรามีความอดทนยิ่งกว่าใคร***
ลองออกกำลังกายทุกวัน ***แล้วจะรู้ว่าเราคือมนุษย์เจ้าพลังคนหนึ่ง*** ลองคิดเอาชนะ ***แล้วจะรู้ว่าเราสามารถเอาชนะ ตัวเองได้ไม่ยาก***

ลองคิดให้ให­่ ***แล้วจะรู้ว่าเรามีความสามารถอย่างน่าแปลกใจ***
นักพูดที่เป็นที่รู้จักกันดีท่านหนึ่งได้เริ่มหยุดการสัมนาของเขาโดยการหยิบแบงค์ 1,000 ขึ้นมา
ในห้องที่มีผู้เข้าร่วม 200 ท่าน แล้วเขาก็พูดว่า
"ใครอยากได้แบงค์ 1,000 นี้บ้าง?" มือได้ถูกยกขึ้นเป็นจำนวนมาก และเขาก็พูดต่อว่า
"ฉันจะให้เงินแบงค์1,000 นี้แก่หนึ่งในพวกท่านแต่ครั้งแรกนี้ฉันจะทำอย่างนี้"
เขาเริ่มที่จะขยำๆเงินนั้นแล้วเขาก็ถามอีกว่า "ใครจะยังต้องการมันอีก"
ยังคงมีมือที่ยกขึ้นอีก
"ดี" เขาตอบ
" แล้วถ้าฉันทำอย่างนี้ล่ะ" และเขาก็ทิ้งมันลงที่พื้นและเริ่มที่เหยียบย่ำมันด้วยรองเท้าของเขา แล้วเขาก็เก็บขึ้นมา ขณะนี้มันทั้งยับยู่ยี่และสกปรก
"ตอนนี้ใครยังต้องการมันอีก" ก็ยังคงมีคนยกมืออีก
"เพื่อนๆคุณได้เรียนรู้บทเรียนที่มีคุณค่ามากที่สุดบทหนึ่งแล้วว่าไม่ว่าฉันจะทำอะไรกับเงิน คุณก็ยังต้องการมันอยู่
เพราะว่ามันไม่ได้ลดคุณค่าในตัวมันลงเลย มันก็ยังคงมีค่า1,000 บาทอยู่นั่นเอง เหมือนกับหลายๆครั้งในชีวิตของเรา ที่ถูกทิ้ง ถูกเหยียบย่ำ และถูกทำให้สกปรก โดยสิ่งที่เราตัดสินใจทำมันและสภาพแวดล้อมที่เราเจอ
ทำให้เรารู้สึกว่าคุณค่าของเราลดน้อยลง แต่ไม่ว่าอะไรที่ได้เกิดขึ้นหรืออะไรที่จะเกิดขึ้น
คุณไม่เคยสู­เสียคุณค่าของคุณ คุณเป็นคนพิเศษ -- อย่าลืมมันตลอดไป! "อย่านำความผิดหวังของเมื่อวานมาบดบังความฝันในวันพรุ่งนี้"